วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

ปณิฐานในปีใหม่ 2555

ความจริงความสำเร็จที่ทำได้ในปี 2554 ที่ผ่านมานั้น แทบจะพูดได้ว่าไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้เป็นเรื่องเป็นราวเลย เพียงแต่ทำแผนการใช้จ่ายไว้เป็นแนวทางเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าสามารถทำหลายๆอย่างได้ดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องการบริหารเงิน

แต่ก้อมีบางเรื่องที่รู้สึกว่าดรอปจากมาตรฐานเดิมของตัวเองไปก็มาก เช่น เรื่องงาน เคยมีคนบอกว่า เมื่อวันหนึ่งที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่งแล้ว ความมุ่งมั่นในตนเองจะลดลง ซึ่งสงสัยว่าจะจริง หลังจากที่ได้รับประกาศนียบัตรปฏิบัติงานครบ 15 ปี รู้สึกว่าแรงจูงใจหายไปเยอะ เดี๋ยวคงต้องปัดฝุ่นความคิดกันหน่อยละ

ส่วนเรื่องเรียน อาจจะเป็นเพราะมีเพื่อนรุ่นน้องๆ หลานๆ เยอะ เลยทำให้รู้สึกว่าตัวเองแข่งกับเค้าไม่ทัน เลยทำให้พยายามหาข้ออ้างว่าตัวเองแก่แล้ว ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ไม่มีใครแก่เกินเรียน อาจจะเพราะกลัวแพ้เด็กๆ ก้อได้มั้ง

เรื่องสุดท้าย สุขภาพ เป็นเรื่องที่จัดการตัวเองได้แย่ที่สุด ข้ออ้างมากมายต่างพาเหรดเข้ามาเป็นอุปสรรคในการให้ความรักตัวเอง เวลาเรียนทั้ง 7 วัน เวลาเดินทางในแต่ละวัน รายงานและการอ่านหนังสือ ทำให้เวลาที่จะไปออกกำลังกายไม่เคยอยู่ในหัวเลย เครียดมากก็สูบบุหรี่จัดขึ้น จนปัจจุบันมีกลิ่นติดตัวมากมาย ความมั่นใจไม่มีเหลือ แต่ก้อไม่ลด ละ เลิก ซะที

เอาเป็นว่า ถ้ามีเรื่องอะไรที่อยากตั้งปณิฐานในปี 2555 นี้ล่ะก้อ ก้อคงเป็น 3 เรื่องข้างต้นนี่แหละ

แค่พยายามวางแผนงานล่วงหน้าและทำให้สำเร็จ
พัฒนาภาษาอังกฤษทุกวันและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละเรื่อง
ฟังเทปบรรยายของอาจารย์หลังเลิกเรียนทุกครั้ง
อ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนทุกครั้ง
ไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหลังเลิกเรียน แถวนิด้าอาทิตย์ละครั้ง
ลดการสูบบุหรี่ลงซะมั่ง

แค่นี้ก้อเยอะแล้ว เอ้า ลองมาดูกันว่าสิ้นปี 2555 เราจะไปได้ขนาดไหน
ขอสวดมนต์ทุกคืนด้วยคงดีนะ

บทเรียนส่งท้ายปลายปี 2554

เป็นอีกหนึ่งปีที่ไม่ได้กลับไปใช้เวลาอยู่กับพ่อ-แม่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยิ่งรู้สึกแย่เมื่อโทรไปอวยพรเช้าวันที่ 1 มกราคม 2555 และพบว่าไม่มีลูกคนไหนๆใน 3 คนกลับบ้านเลย ปล่อยให้พ่อกับแม่อยู่กันแค่สองคนตามลำพัง ถึงแม่จะบอกว่าไม่ได้คิดอะไร รู้อยู่ว่าลูกๆแต่ละคนก็มีภาระ แต่นั่นก็ดูเหมือนกับว่าเป็นคำพูดปลอบใจตัวเอง และพูดเพื่อให้ลูกๆไม่รู้สึกผิดกับการที่ไม่ได้กลับบ้าน นี่ถ้าเกิดว่าคนใดคนหนึ่งต้องจากเราไปก่อนถึงเทศกาลปีใหม่ครั้งหน้า เราคงจะรู้สึกผิดมากกว่านี้

แต่อย่างน้อยก้อมีโอกาสทำอะไรบางอย่างเพื่อแม่ เพราะว่ารับปากแม่ว่าจะเป็นตัวแทนแม่ ไปเยี่ยมป้านงที่เข้ามาผ่าตัดลำไส้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ออกจากบ้านไปถึงโรงพยาบาลตอนบ่าย พบว่า ป้านงนอนพักรักษาตัว อยู่ที่ห้องพักรวม โดยที่ไม่มีคนมาเฝ้า ทั้งๆที่ป้านงก็ดูสดใสดี แต่มันก้อทำให้เราอดย้อนคิดถึงเมื่อ 2 ปีก่อนที่ไปเยี่ยมป้าแก้วในช่วงวันหยุดปีใหม่เหมือนกัน

ทั้งๆที่เป็นเทศกาลแห่งความสุขแท้ๆ แต่เรากลับพบว่า มีใครหลายๆคนที่ต้องทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ต้องมาพักอยู่ในโรงพยาบาล ขาดญาติพี่น้องมาเหลียวแล เพราะข้อจำกัดทางด้านการให้บริการของโรงพยาบาลภาครัฐ หรืออีกอย่างก้ออาจจะเป็นเหตุผลทางด้านสวัสดิการของภาครัฐ และเหตุผลจากค่าใช้จ่ายทางการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น จนทำให้สมือนว่าเราไม่มีทางเลือกในการเข้ารับบริการ ถึงแม้ว่า ที่จริงจะมีทางเลือกในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีความสะดวกสบายมากกว่าก็ตาม

บทเรียนสำคัญที่ได้จากเหตุการณ์ช่วงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ นั่นก้อคือ

เราคงต้องหันมาดูแลสุขภาพของตนเอง ในลักษณะของการป้องกันมากขึ้น
รวมทั้งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับโปรแกรมการประกันสุขภาพ
และที่สำคัญที่สุด - เราต้องสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองให้ได้อย่างมีความสุข อย่ายึดติดกับคนรอบๆตัว
เพราะท้ายที่สุด บางเวลาเราก้อต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างไม่มีทางเลือก นั่นเอง

และสัญญาว่า จะพยายามให้เวลากับคนในครอบครัวให้มากกว่านี้ โดยไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
เพราะไม่อยากเสียดายที่ไม่ได้ทำในขณะที่เรายังมีโอกาส แล้วต้องมานั่งเสียใจตอนที่หมดโอกาสไปแล้ว

ขอโทษครับ พ่อ-แม่

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บันทึกแรกบนบล็อกส่วนตัว

เคยตั้งใจไว้นานแล้วว่า วันหนึ่งอยากจะเขียนบันทึกความรู้สึกของตัวเองลงบนบล็อก หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างบล็อกมาถึง 2 ครั้ง 2 คราว แต่ก้อมีปัญหาในการส่งบทความขึ้นบล็อกตัวเอง จนมาถึงวันนี้ต้องอาศัยบทความอ้างอิงจากผู้รู้ และทำประกอบกันไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จในบล็อกที่ 3 นี่เอง ขอขอบคุณเจ้าของบทความใน http://www.makemoney-school.com/how_blogger_signup.html

อย่างน้อย วันนี้ก้อได้เรียนรู้ว่า ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นได้แค่ความพยายาม ถ้าเราเอาแต่ลองผิดลองถูก และการมี ข้อมูล,ความรู้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ ก้อยังคงเป็น
Resources ชั้นดีที่จะช่วยให้เป้าหมายของเราบรรลุได้ในที่สุด

สำหรับ บรรยากาศช่วงเช้าในวันส่งท้ายปลายปี 2554 อาจจะดูเหงาๆสำหรับการที่ต้องอยู่คนเดียว แต่มันคือความสุขสงบสำหรับคนในวัย 44 อย่าง เรา มีเพื่อนๆ โทรมาชวนให้ไปจอยกิจกรรมต่างๆ แต่ก้อขอปฏิเสธไปก่อน เพราะอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากๆ ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของตัวเอง สามารถบรรลุเป้าหมายดีๆในชีวิตได้หลายๆอย่าง เริ่มจาก

- การได้เข้าเรียนต่อปริญญาโท ที่นิด้า ด้วยงบประมาณส่วนตัว แถมสามารถเก็บเงินสำรองค่าเล่าเรียนล่วงหน้าอีก 1 เทอมโดยไม่ต้องเดือดร้อนทางบ้าน บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ สำหรับคนที่ทำงานมีรายได้เดือนละกว่า 7 หมื่น แต่สำหรับเราแล้ว การที่ต้องตั้งใจเก็บเงินในภาวะที่เป็นหนี้ท่วมตัว ซึ่งต้องผ่อนชำระมากกว่า 7 บัญชีต่อเดือน มันไม่ง่ายจริงๆ

- สามารถซื้อโทรศัพท์
iPhone, Sony Voice Recorder และ Laptop ด้วยเงินสดสำหรับการใช้เพื่อชีวิตการเรียนรวมทั้งสร้าง community ใหม่ๆในชีวิตการเรียน

- สามารถปิดบัญชีหนี้สินมากกว่า 5 รายการภายในปีนี้ จนปัจจุบันนี้มีภาระหนี้เหลือเพียง 2 บัญชีด้วยยอดประมาณ 3 แสนจากทั้งหมด 17 บัญชีเมื่อ 4 ปีที่แล้วด้วยยอดสะสมสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

และ สุดท้าย ความสำเร็จในการสะสมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน รวมทั้งการซื้อสลากออมสินสะสมสำหรับอนาคตในยามแก่ตัว ซึ่งจำเป็นมากมายสำหรับการเป็นเกย์ที่ต้องดูแลตนเองเพียงลำพัง

คงต้องขอบคุณ "เขาคนนั้น" ที่ ทำให้ชีวิตเราตกต่ำถึงขีดสุดจนกลายเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่เริ่มรักตัวเองเป็นและเห็นความสำคัญของการบริหาร เงินขึ้นมา, "แม่" ที่คอยพร่ำสอนถึงความสำคัญของ "การเก็บออม" และ "ความรักที่เรามีต่อท่าน" จนทำให้เรามีสติที่ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรเลวร้าย, ผิดพลาดไปบ้าง แต่เราจะไม่ทำให้ "บุคคลสำคัญ" คนนี้ต้องเดือดร้อนจากการกระทำของเราอย่างเด็ดขาด และท้ายที่สุด "พ่อหลวงของคนไทย" ที่ สอนให้เรารู้จักบันทึก "บัญชีครัวเรือน" ซึ่งช่วยให้เรามีสติในการใช้จ่ายมาก เราเองไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การบันทึกค่าใช้จ่ายทุกๆวัน มันจะช่วยอะไรได้ จำได้ว่า ช่วง 3-4 เดือน แรกที่บันทึก เรายังคงมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเหมือนเดิม แต่หลังจากที่เราย้อนกลับมาดูกลับพบว่า รายจ่ายรวมทั้งหมดต่อเดือนมากกว่ารายได้ที่เราสามารถหาได้, ค่า ใช้จ่ายบางประเภทสูงเกินจนน่าตกใจ ท้ายที่สุด เราก้อจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเราไปเอง ท่านทรงพระราชทานเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเกิด "สติ" เพื่อที่จะให้เราสามารถช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วย "ศักยภาพ" ของตนเอง

ขอปิดท้ายบันทึกแรกวันนี้ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่มีต่อพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง
"ขอพระองค์ทรงพระเจริญ"